เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๔ มี.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มันเป็นการเข้าใจผิดกัน เห็นไหม มันเป็นความเข้าใจผิด เป็นความเห็นของพวกเรากันเอง เพราะพวกเรานี่มันแบบว่า เขาเรียกว่าอะไรนะ เอามะพร้าวไปขายสวน เราอยู่ในสวนกัน เราเห็นพืชพรรณธัญญาหาร เห็นจนเคยชินนะ

เราอยู่กับพระฝรั่ง พระฝรั่งเขามาบวชในศาสนาพุทธ เขาบอกเลย “คนไทยนี่เหมือนกบเฝ้ากอบัว” เพราะอยู่กับศาสนา อยู่กับสัจจะความจริง แต่ไม่ได้สัจจะความจริง ไม่รู้อะไรเลย เขาเป็นนะ พอเขาไปศึกษาทางวิชาการ เขาทึ่งมาก เขาทึ่งเรื่องศาสนามาก แล้วเขาก็พยายามมาบวช

วัฒนธรรมของเขา เห็นไหม เวลาเป็นพระฝรั่ง เวลาอยู่ด้วยกันในวัดป่านานาชาติ เวลาเขากินไอ้พวกน้ำปานะ มันต่างกันไง เพราะเขากินเนยอยู่แล้ว วัฒนธรรมเขาเป็นอย่างสภาวะแบบนั้น แต่เวลามาเจออาหารสิ อาหารมันเป็นอาหารทางภาคอีสานไง เขาต้องมากินอาหารทางภาคอีสาน เห็นไหม เป็นข้าวเหนียวเป็นอะไรนี่ เขาต้องปรับความเห็นของเขาเพื่ออะไรล่ะ ก็เพื่อเขาอยากได้ความจริงไง

แล้วเขาไม่เชื่อด้วย เวลาปฏิบัติไป พอสมาธิเขาจะปล่อยให้เสื่อม เขาไม่เชื่อเรื่องสมาธิ เขาไม่เชื่ออะไรนะ เพราะเป็นความเห็นจากภายใน มันพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ แต่ถ้าพิสูจน์ทางจิต เห็นไหม พอมันเข้าใจ มันเข้าใจ มันรู้เห็น เห็นไหม ความรู้เห็นของเรามันเป็นสันทิฏฐิโก สันทิฏฐิโกคือมันสัมผัส มันจับต้องได้ มันสัมผัสได้อย่างนั้น มันก็เป็นพิสูจน์กับเรา เห็นไหม แต่จะเอาเรื่องความรู้สึกอันนี้ มันพิสูจน์จากภายนอก

แล้วดูผู้ที่ทำการวิจัย เขาทำประสบความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ เห็นไหม เขาเขียนตำราไว้ แล้วเราก็ไปอ่านตำราของเขา แล้วเราก็เอาตำรานี่มาวิเคราะห์วิจัย เราไปวิเคราะห์วิจัยตำราของเขา เราไม่ได้เข้าไปทดลองในห้องแล็บ

นี่ก็เหมือนกัน เราวิเคราะห์วิจัยในพระไตรปิฎกไง เวลาเอาพระไตรปิฎก ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปรมัตถธรรม เห็นไหม แล้วเราบอกเราศึกษามามันผิดตรงไหน ผิดตรงกิเลสของเราไง เห็นไหม ฉลาดมาก แต่มันโง่ถ้ากิเลสของเรามันตีความไง เพราะมันตีความไป มันไม่เข้าใจตามธรรมะนั้นหรอก เพราะสิ่งนั้น เห็นไหม

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้พระโมคคัลลานะตรึกในธรรม ตรึกในธรรมเพราะอะไร เพราะพระโมคคัลลานะง่วงนอนใช่ไหม ง่วงเหงาหาวนอนนี่ตรึกในธรรมให้มันตื่นขึ้นมา เราตรึกในธรรม แต่พอเราไปตรึกในธรรมกัน เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้พระโมคคัลลานะตรึกในธรรม แล้วก็ตรึกในธรรมนี่เพื่อแก้นิวรณธรรม แล้วพระโมคคัลลานะไปบรรลุธรรมอีกต่างหากใช่ไหม

ไอ้นี่เราตรึกในธรรมนะ แล้วมันก็ตู่ไง ว่าธรรมที่เราตรึกเราเข้าใจนี่เป็นของเรา ตรึกในธรรมนี่ตรึกเพื่อให้ไปตื่นตัวเท่านั้นเอง แต่สัจจะความจริงนี้มันจะเกิดขึ้นมาของเรา เราต้องเป็นประสบการณ์ของเราอีกชั้นหนึ่ง เห็นไหม ประสบการณ์ความจริงอีกชั้นหนึ่ง แล้วมันก็เป็นวิทยานิพนธ์ของคนๆ นั้น เป็นสัจธรรมของคนๆ นั้น เป็นสันทิฏฐิโกของคนๆ นั้น เห็นไหม ธรรมะส่วนบุคคล

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมะสาธารณะ เหมือนกันนี่สภาวธรรม สภาวธรรมชาตินี่เป็นสาธารณะ สิ่งที่เป็นสาธารณะ ใครมีโซล่าเซลล์ ใครมีอะไร เก็บแผงพลังงานนี้มาใช้ คนนั้นจะได้ประโยชน์จากตรงนั้น นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นสาธารณะ แล้วเรามาตรึกในธรรมๆ ตรึกในธรรมสาธารณะ เห็นไหม เราก็ใช้ประโยชน์สิ ถนนหนทาง เห็นไหม เราใช้ไอ้สิ่งต่างๆ ที่อำนวยความสะดวกนี่ เราใช้เป็นของสาธารณะ แล้วของเราล่ะ ของเราไม่มีหรอก ของเราไม่มี

เราเกิดมาในโลกก็เหมือนกัน วัฏฏะเป็นสภาวะแบบนั้น แล้วเราฝึกฝนตน เห็นไหม เหมือนกับฝึกฝนทดสอบ ฝึกฝนทดสอบ ทดสอบจนใจมันเห็นของมัน มันเข้าใจของมัน เห็นเห็นไหม ถ้าเห็นนะ ความเห็นนั้นเป็นความจริงไหม ถ้าความเห็นโดยกิเลส เห็นโดยสัญญาเริ่มก่อน สิ่งที่เห็นนั้นถูกต้อง เห็นจริงๆ แต่ความเห็นนั้นไม่จริงเลย แล้วค่อยพยายามทำทดสอบ ทดสอบไป มันไม่จริงอย่างไร มันจริงอย่างไร มันแน่นอนอย่างไร มันไม่แน่นอนอย่างไร มันมีส่วนไหนผสมนะ มันทดสอบไปๆ สิ่งที่ เห็นไหม ที่ว่าเริ่มต้นจากสมมุติไง สมมุติเพราะมันเกิดมาจากเรา เกิดจากกิเลสเรา

คนเราเกิดมามีกิเลสแน่นอน แล้วเวลาความคิดของเรามันเจือไปด้วยกิเลส ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วเจือกิเลสด้วยหยาบหรือบางต่างหาก เวลาตีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันถึงตีความต่างๆ กัน เห็นไหม สิ่งที่ตีความต่างๆ เวลามันทดสอบไป มันว่าเจือด้วยความเป็นกิเลสของเรา มันก็ต้องแก้ไขของเราไป นี่สิ่งนี้.. นี่ตรึกในธรรม

เพราะถ้าไม่มีธรรมให้ตรึก เราสาวก สาวกะ เพราะสาวก สาวกะเป็นผู้ที่ปัญญาน้อย เป็นผู้ที่อำนาจวาสนาน้อย เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ต้องตรึกในธรรม เพราะธรรมมันไม่มี ธรรมมันไม่มีเอาอะไรมาตรึก เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ได้ตรัสรู้ขึ้นมา ธรรมมันไม่มี อริยสัจยังไม่มี สัจจะยังไม่มี ตรึกกันที่ไหน ค้นคว้าเอง เห็นไหม

แต่ของเรามี ธรรมและวินัยนี่มี แล้วเราตรึกขึ้นมา เราตรึกเอากิเลสบวกเข้าไป มันก็เลยเคลิบเคลิ้มว่าเป็นธรรมะของเราไง นี่มันเป็นธรรมสาธารณะ มันเป็นของประเทศชาติ เป็นของโลกเขา แล้วสิ่งนี้แร่ธาตุต่างๆ มันมีของโลกเขา แล้วเรามาใช้ประโยชน์เขาเท่านั้นเอง เราใช้ประโยชน์ทรัพยากรไป แล้วเราไปใช้ของเขา แล้วเราไปทำลายสภาวะแวดล้อม แล้วมันก็กลับมาทำลายตัวเราเอง

นี่ก็เหมือนกัน ตรึกในธรรม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ซาบซึ้งๆ ซาบซึ้งเวลาจิตมันลงไง เวลามันเสื่อมขึ้นมา เห็นไหม มันตีกลับขึ้นมา นี่กรรมฐานม้วนเสื่อเลย กรรมฐานม้วนเสื่อคือยกเลิกเลย ถอนรากถอนโคนความศรัทธาเลย เปลี่ยนศาสนาไปยังมีเลย เพราะตรึกในธรรม พอตรึกไปแล้วมันตรึกธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง มันใช้ทรัพยากรของโลกไง

แต่หัวใจของเราไม่ได้แก้ไขไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย เห็นไหม มันถึงต้องย้อนกลับมาๆ ทวนกระแสๆ อย่างนี้ไง ถ้าทวนกระแสไป ธรรมเราเกิดขึ้นมา เวลาปัญญาเราเกิดขึ้นมา คนที่ปัญญาเกิด คนที่มรรคสามัคคี มัคคะ ธรรมจักรมันเกิดขึ้นมา คำพูดมันไม่เหมือนกับโลกเขาหรอก โลกเขาพูดอย่างไรมันก็ซ่อนเร้นกิเลสมาทั้งนั้น

แต่ถ้าเป็นธรรมจักรนะ มันจะบอกเลยว่าขาดตรงไหน เป็นอย่างไร แล้วมันจะแฝงมา แฝงมากับความรู้อันนั้น ครูบาอาจารย์ท่านบอก เห็นไหม ถ้าคนถ้ามีนะ ปิดอย่างไรก็ไม่อยู่หรอก เวลาคำพูดออกมา เพราะความรู้อันนี้มันมาจากหัวใจ เวลาคนพูดพูดมาจากไหน มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา เห็นไหม มโนนี่เกิดจากใจทั้งหมด ความคิด การพูด การกระทำนี่มันเกิดจากใจทั้งหมด แล้วถ้าใจนั้นเป็นธรรม มันแฝงออกมาจากธรรมอันนั้น แต่ถ้ามันเป็นกิเลสนะ มันจะพูดดีขนาดไหน มันก็แฝงออกมาด้วยกิเลส เห็นไหม สภาวธรรม สภาวธรรมมันเป็นสภาวะแบบนั้น

แล้วก็พูด เห็นไหม ปัญญาไม่ต้องคิด ปัญญาจะเกิดขึ้นเอง เขาปฏิเสธเลยว่ารถนี่ไม่มีล้อ รถที่วิ่งมานี่ไม่มีล้อสักคันหนึ่งเลย เราเชื่อไหม? มันเป็นไปไม่ได้! สิ่งที่เป็นไปไม่ได้นั้น พูดได้อย่างไรว่าไม่ต้องใช้ปัญญา ไม่ต้องคิด มันจะเกิดขึ้นมาเอง สติไม่ต้องฝึก สร้างสรรค์ไม่ได้ แต่สติเป็นธรรมชาติ แล้วธรรมชาติมาจากไหน ดูสิ ดูขนาดธรรมชาติ เห็นไหม ฝนตกแดดออก ธรรมชาติของเขา ฤดูกาลมันเปลี่ยนไป แต่ทำไมเราต้องทำฝนเทียม? ทำไมเราเอาสารเคมีขึ้นไปเพื่อดูดความชื้น?

สิ่งนี้เราการกระทำ สิ่งที่มันเป็นไปมันเป็นไปโดยธรรมชาติ ธรรมชาติมันมีอยู่แล้ว ถ้าธรรมชาติไม่มี ดูสิ ดูเขาทำเกษตรกรรมกัน เขาอาศัยแหล่งน้ำกัน เขาอาศัยแผ่นดินทำการเกษตร แล้วคนที่ไม่มีอาชีพทำเกษตรล่ะ เขาทำงานออฟฟิศล่ะ เราเกี่ยวอะไรกับแผ่นดินล่ะ เขาอยู่ในออฟฟิศเขา เขาทำงานของเขาได้

นี่ก็เหมือนกัน ใครจะจริตนิสัยจะทำประสบความสำเร็จมาอย่างนั้น ถ้ามันเป็นความจริง มันจะเป็นความจริง ไม่ใช่พูดหลักการไม่ได้ บอกสติฝึกไม่ได้ สติไม่ต้องฝึก มันเป็นไปเอง อะไรก็เป็นไปเอง มันก็งอมืองอตีนรอให้ธรรมะมาสวมในหัวใจ มันเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้หรอก

ถ้าคนเป็นจะพูดอย่างนี้ไม่ได้ คนเป็นจะพูดถึงหลักการผิดไม่ได้เลย! หลักการต้องถูกหมด แต่วิธีการการกระทำมันเป็นไปได้ คำว่าเป็นไปได้เพราะมันจริตนิสัย เห็นไหม อย่างเช่นอาหาร แต่ละภาคก็ไม่เหมือนกัน แม้แต่ในภาคเดียวกัน อาหารรสชาติก็ต่างกัน นี่มันอยู่ที่จริตนิสัย แต่สุดท้ายแล้วมันต้องหลักสัจจะความจริงนี้มันผิดไม่ได้

รถมันต้องมีล้อสิ มันต้องมีเครื่องยนต์กลไกของมัน มันประกอบขึ้นมาเป็นรถมันถึงใช้สอยได้ จะรถของเขานี่มีล้อโดยธรรมชาติ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีอยู่แล้ว เห็นไหม นี่มรรค ๘ ปัญญาชอบ สติชอบ สมาธิชอบ สิ่งนี้มีอยู่แล้ว ส่วนประกอบของมรรค ๘ ส่วนประกอบของมรรคญาณ มัคโค ทางอันเอกของศาสนาพุทธ

“ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล”

แล้วเวลาอธิบายกัน อธิบายมรรคก็บอกว่า “สมาธิก็ไม่ต้องทำ สติก็ไม่ต้องทำ” ..มันก็ตัดทอนสิ ตัดทอนส่วนประกอบของรถ แล้วรถมันจะไปได้อย่างไร? ไอ้รถคันนี้ก็ไม่มีล้อ ไอ้นั่นก็บอกรถไม่ต้องใช้เครื่อง เครื่องยนต์ไม่ต้องใส่หรอก รถมันจะหมุนไปเอง รถมันจะไปเอง

นี่โดยหลักการมันพูดผิดหมด แล้วก็บอกเหมือนกันๆ เหมือนกันก็เอาพูดธรรมะก็เหมือนกัน พูดเป็นธรรมชาติ เห็นไหม ธรรมชาติก็เหมือนกันสิ ก็อยู่ในฤดูกาลเหมือนกัน สามฤดูเหมือนกัน โลกนี้เหมือนกัน ทุกอย่างเหมือนกัน ถ้าเราหลักการอย่างนี้มันผิด เห็นไหม วิธีการที่ผิด เป้าหมายก็ผิดตาม วิธีการที่ถูกต้องต่างหาก วิธีการถูกต้องนั้น แล้วถ้าวิธีการถูกต้อง เห็นไหม วิธีการถูกต้อง ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วศีลล่ะ ศีลนี่มันต้องถือกันไปก่อน

เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูด เห็นไหม เวลาประพฤติปฏิบัตินี่เคร่งครัดมาก เคร่งครัดมากเลย เวลาผ่านไปแล้วนะ ไอ้เคร่งครัดนั้นก็เป็นบ้าอันหนึ่ง บ้าอันหนึ่งฟังสิ! วิธีการไง วิธีการต้องเคร่งครัดมา ต้องเอาวิธีการนั้นบังคับเข้าไป แต่พอผ่านไปแล้ว เราไปติดวิธีการได้ไหม? นี่อาศัยพาหนะ อาศัยรถมาที่วัด แล้วถ้านั่งอยู่ในรถ ไม่ลงจากรถจะเข้ามาบนศาลานี้ได้ไหม?

นี่ก็เหมือนกัน อาศัยเรือแพไป ถึงเรือแพแล้วเราต้องสละเรือแพขึ้นฝั่ง ถ้าเราอาศัยเรือแพขึ้นมา เรือแพคือวิธีการ เห็นไหม นี่มรรค มรรคเป็นวิธีการ มรรค ๘ วิธีการต้องใช้อาศัยมันเข้าไป แล้วไปถึงแล้วเราจะกอดมรรคไว้ไม่ปล่อยมรรคเป็นไปได้อย่างไร เห็นไหม ถึงบอกอริยสัจมันไม่ใช่!

ปริยัติเขาบอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ตรัสรู้อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เราบอกไม่ใช่! ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคนี้เป็นเรือเป็นแพต่างหากล่ะ มันเป็นวิธีการเข้าไปหาธรรมะนั้นต่างหากล่ะ อาสวักขยญาณทำให้หัวใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหลุดออกมา พ้นออกมาจากอริยสัจต่างหากล่ะ อริยสัจเป็นวิธีการเท่านั้น ผลที่เกิดจากอริยสัจต่างหาก ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างหากที่มันพ้นออกมาเป็นวิมุตติธรรม สิ่งที่พ้นออกมาจากอริยสัจ ไม่ใช่ตรัสรู้อริยสัจ อริยสัจเป็นวิธีการเท่านั้น เป็นวิธีการที่ตรัสรู้ แล้วเราอาศัยวิธีการ แต่ธรรมและวินัยนี่เป็นพาหะ

ในพระไตรปิฎกพูดไว้อย่างนี้ไง ในพระไตรปิฎกนี่จะบอกแต่เหตุทั้งหมดเลย ไม่ได้บอกผลไว้ แล้วเราทำไป เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอก ไม่มีในพระไตรปิฎก เวลาผู้ที่สิ้นกิเลสเขาคุยธรรมะกันนะ ไม่มีในพระไตรปิฎก ไปหาในพระไตรปิฎกไม่มี เพราะพระไตรปิฎกถ้าพูดไว้ เหมือนครูบาอาจารย์ เหมือนหลวงปู่มั่น เวลาท่านเทศน์ ท่านไม่เทศน์ถึงผลเลย เพราะอะไร? เพราะคนมันจะจำไป จำไปแล้วเป็นสัญญาทั้งหมดเลย ท่านจะเทศน์แต่เหตุๆ ในพระไตรปิฎกมีแต่เหตุ แล้วผลมันอยู่ไหน?

อริยสัจก็เหมือนกัน อริยสัจนี่เป็นเหตุ แล้วมันมีเหตุฝ่ายบวกฝ่ายลบด้วย ทุกข์ สมุทัยนี่เป็นเหตุฝ่ายลบ เพราะเป็นทุกข์ เป็นสมุทัย สมุทัยเป็นตัณหาความทะยานอยาก นิโรธะมันเกิดได้อย่างไร เกิดได้ด้วยมรรค เห็นไหม เป็นฝ่ายบวก เห็นไหม มีบวกและลบในอริยสัจนั้น

ถ้าใครจับขั้วลบ จะเป็นลบไปหมดเลย จิตนี้จะลบไปหมดเลย ถ้าใครจับขั้วบวกได้ มันจะเป็นบวกขึ้นมาๆๆ บวกขึ้นมาจนถึงที่สุด กลั่นออกมาจากอริยสัจ จิตนี้พ้นจากอริยสัจมา จิตนี้ถึงเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีขึ้นมา

ถ้าเป็นความจริงมันจะเป็นความจริง แล้วเวลาพูดถึงหลักการ พูดถึงอริยสัจ ถ้ามันเป็นอริยสัจที่ในแง่ลบ ในขั้วของลบ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบัญญัติไว้ เพราะมันเป็นสัจจะความจริงไง มันเป็นทุกข์ เป็นสมุทัย เห็นไหม มันมีจริงอยู่แล้ว แล้วมรรคนี่สร้างขึ้นมานะ พอออกไปมันก็เป็นมรรค ๘

พอมรรค ๘ ขึ้นมา นี่ส่วนประกอบของธรรมชาติมันก็ครบๆ สมบูรณ์ของมัน ถึงถ้าจะพูดหลักการหรือธรรมชาติต้องเป็นอย่างนั้น สมาธิก็ต้องทำ สติก็ต้องทำ ความเพียรก็ต้องทำ งานก็ต้องทำงานชอบ งานชอบ ความเพียรชอบ สติชอบ นี่มรรคมันชอบขึ้นมา มันก็จะหมุนเข้ามา มันก็เป็นธรรมจักรขึ้นมา มันก็เข้าไปชำระกิเลสขึ้นมา นี่กิเลสมันก็พ้นออกมา พ้นออกมามันก็เกิดใจนี่พ้นทุกข์ๆๆ

ไอ้นี่บอกว่าเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น แล้วใครพ้นทุกข์สักคนหนึ่ง ไม่มีๆ เห็นไหม วิธีการที่ผิดผลถึงได้ผิดไง วิธีการมันผิดไปแล้วผลมันจะถูกต้องมาจากไหน วิธีการต้องถูกต้องก่อน วิธีการถูกต้อง ครูบาอาจารย์ที่เป็นผู้รู้จริงถึงบอกวิธีการที่ถูกต้องเข้าไปได้ วิธีการถูกต้องเป้าหมายมันก็ถูกต้อง พอเป้าหมายถูกต้อง มันก็เป็นผลออกมาจากการปฏิบัติ เห็นไหม

นี่สัจธรรม นี่ครูบาอาจารย์สำคัญตรงนี้ ตรงนี้ครูบาอาจารย์สำคัญมาก เพราะอะไร เพราะตอนนี้วิชาการเจริญ แล้วอ้างด้วยว่า ในธรรมะบอกว่าห้ามติดตัวบุคคล ให้ติดธรรมะ แล้วก็อ้างพระไตรปิฎก ปรมัตถธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ศึกษามาจะผิดตรงไหน

ผิดตรงกิเลสมึงนั่นล่ะ! ผิดตรงหัวใจมึงนั่นล่ะ! ผิดหมด!

แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริง มันจะถูกหมด นี่อาศัยครูบาอาจารย์ใจที่บริสุทธิ์ไง ถึงพยายามจะเป็นผู้คัดท้าย คัดให้สังคมเราเข้าถึงถูกทาง เข้าให้ถูกทางให้เข้ากับอริยมรรค ให้เข้าสัจจะความจริง อริยมรรคนะ มรรคสัจจะความจริงนะ ไม่ใช่มิจฉามรรค มิจฉาของเขามันเป็นมรรคมิจฉา ว่ากันไปนะ แล้วมันเป็นตรรกะ เป็นปรัชญา ซาบซึ้ง ซาบซึ้ง อู๋ย..ตรึกในธรรมะล่ะ อู๋ย..ธรรมะบรรลุ อู๋ย..ว่างไปหมดเลย

วิธีการผิดหมด ผลของมันก็คือตกภวังค์ ผลของมันก็คือพรหมลูกฟัก ผลของมันก็คือทำให้เราตกอยู่ในวัฏฏะ ผลของมัน นี้ศาสนานะ นี่ศาสนาพุทธที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังอยู่นะ แล้วสอนกันมาอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกแล้ว “ศาสนานี้จะมีภัยไปก็จากภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา” ไง แล้วทำถึงหลักการเลยนะ เวลาพูดถึงหลักการ พูดถึงวิธีการที่ผิดในหลักการของศาสนาเลย พูดถึงอริยสัจเลย พูดถึงการปฏิบัติเลย นี่ๆ ผู้ปฏิบัติ นี่ๆ ลูกศิษย์ตถาคตเอง ลูกศิษย์ตถาคตเองทั้งนั้น แล้วตีความธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงไม่ถึง แล้วเข้าถึงไม่ถึง เห็นไหม นี่สัจจะความจริงเป็นอย่างนี้

นี่คือสัจจะ นี่คือความจริง แล้วพิสูจน์ได้โดยหัวใจทุกๆ ดวง อย่าเชื่อ! ไม่ต้องเชื่อใครเลย! เอาหัวใจนี่ทดสอบ ถ้ามันขี้โม้นะ มันเป็นไปไม่ได้ มันติด มันไปไม่รอด แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริง เราจะกราบด้วยหัวใจเลย เพราะเราได้ธรรมมาจากใคร

คนที่ชี้ทาง เห็นไหม คนหลงทาง นี่เราอยู่ในป่าหลงทาง มีพรานป่าเดินนำหน้าไป เราเดินตามหลังไป พรานป่านั้นยังมีคุณกับเราเลย นี่ก็เหมือนกัน คนที่ชี้ทางให้เราพ้นไป เราจะเคารพคนนั้นไหม? ถ้าเราจะซาบซึ้งกับครูบาอาจารย์ของเราไหม? เราจะกราบไหว้ครูบาอาจารย์เราเต็มใจไหม?

นี่คิดเอา คิดเอาแล้วซาบซึ้งในใจ นี่คุณธรรม จิตมันลงให้หมดเลย ลงจากภายในหัวใจ ข้างนอกกิริยาท่าทางอีกอย่างหนึ่ง แต่หัวใจราบคาบ ราบคาบเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันประเสริฐมาก สิ่งนี้สำคัญมาก แล้วมีผู้ชี้นำเรา ผู้ชี้นำเราจะรู้หรือไม่รู้ก็แล้วแต่

เวลาหลวงตาท่านพูด “ครูบาอาจารย์องค์ไหนที่จะมีคุณธรรมนะ อ้อ.. มีแต่เทปเราทั้งนั้นเลย!” มีแต่เทปเราทั้งนั้นเลย เห็นไหม เทปมันเป็นชี้นำไง นี่ธรรมะไงที่เป็นผู้ชี้นำ เห็นไหม อ้อ.. อ้อ.. เลยนะ นี่มันชี้นำไป เห็นไหม จะรู้หรือไม่รู้ก็แล้วแต่ จะได้เห็นหลวงตาไม่ได้เห็นหลวงตา แต่ได้ฟังเทศน์นั้น เห็นไหม ได้ฟังสัจจะ ได้ฟังเทศน์นั้น อันนั้นจะชี้นำไป ใจจะถึงที่สุด เห็นไหม นี่ผู้ชี้นำเรา มันถึงจะมีคุณประโยชน์กับเรา นี่ไม่ให้ติดในตัวบุคคล อ้าว.. ไม่ติดบุคคลก็ไม่ติด แล้วใครชี้นำล่ะ ให้กิเลสเราชี้นำหรือ? หรือให้ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้นำ ถ้าชี้นำ เราจะถึงถูกทาง แล้วเราจะเข้าถึงสัจจะความจริงได้ เอวัง